ประวัติศาสตร์เวียดนาม
เวียดนามเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ของการต่อสู้อันยาวนาน
เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งขึ้นเป็นประเทศในนามของอาณาจักรวัน ลาง เมื่อประมาณ 3,000
ปีก่อนคริสตกาล ในบางครั้งมีการแบ่งแยกออกเป็นอาณาจักรเล็กๆ
และในบางครั้งกลับมารวมกันได้อีก จนกระทั่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ตั้งแต่ 111
ปีก่อนคริสตกาล จนถึงปี ค.ศ.938 จึงได้รับอิสรภาพจากจีน
และมีการตั้งราชวงศ์ต่างๆ ขึ้นมาปกครองประเทศ แต่ก็ยังมีการรบพุ่งกันเองระหว่างตระกูลใหญ่
รบกับจีนเป็นครั้งคราว รวมทั้งพวกจามปาและเขมรด้วยพร้อมกันไป
จนกระทั่งเหงียนอั๋นห์สามารถรวบรวมอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียวกันได้
และตั้งราชวงศ์เหงียนขึ้นปกครองเวียดนาม ใน ปี ค.ศ.1802
ปี ค.ศ.1862 ฝรั่งเศสบุกโจมตีไซ่ง่อน จักรพรรดิตือดึ๊ก เซ็นสัญญายอมแพ้และตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ.1940 – 1954 โฮจิมินห์นำประชาชนต่อสู้กับพวกฝรั่งเศส และพยายามกลับมามีอิทธิพลทำให้เกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง กองกำลังเวียดมินห์ได้พามวลชนลุกขึ้นสู้ในทุกหัวเมืองของเวียดนามในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1945 เรียกกันว่า “การปฏิวัติเดือนสิงหาคม” และได้รับชัยชนะและ โฮจิมินห์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก ได้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญในปีถัดมา
จนถึงปี ค.ศ. 1954 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา สงบศึกที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลการเจรจาสงบศึกตกลงว่าฝรั่งเศสต้องให้เอกราชแก่เวียดนาม และประเทศเวียดนามจะต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ โดยเวียดนามเหนืออยู่ภายใต้การปกครองของโฮจิมินห์ และเวียดนามใต้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเบาได๋
ความเป็นอิสระของเวียดนามดำเนินอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อในปี ค.ศ.1955 สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาช่วยเหลือในการสร้างรัฐให้แก่เวียดนามใต้ และเพิ่มการช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือ โฮจิมินห์พยายามจะล้มล้างรัฐบาลเวียดนามใต้ โดยส่งขบวนการเวียดกงเข้าไปแทรกแซง ชักชวนให้ประชาชนเวียดนามใต้ต่อต้านรัฐบาลตนเอง ประชาชนเวียดนามใต้ได้มีประชามติปลดจักรพรรดิเบาได๋ออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1955 และ
โงดินห์เดียมได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี นับตั้งแต่นั้นมาประเทศเวียดนามใต้ได้เกิดสงครามภายในตลอดมา โดยโงดินห์เดียมได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา เวียดกงได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือและโซเวียต
ปี ค.ศ.1963 โงดินห์เดียมถูกโค่นอำนาจและเสียชีวิต สหรัฐจึงได้ส่งทหารเข้ามาต่อสู้กับเวียดกง อีก 2 ปีต่อมา สหรัฐส่งกำลังทหารเข้ามาปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรอีก 7 ประเทศ
สงครามเวียดนามจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปี ค.ศ.1973 แม้ว่าทหารสหรัฐจะเข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจจะสู้รบกับสงครามกองโจร หรือสงครามจรยุทธของเวียดกง ในสมรภูมิที่ไม่คุ้นเคยได้ ทหารอเมริกันที่ถูกส่งเข้าไปในเวียดนามถึง 2,500,000 นาย เสียชีวิตไปกว่า 58,000 นาย บาดเจ็บนับ 200,000 นาย และเชื่อว่าอีกแสนนายฆ่าตัวตาย เพราะทนสภาพโหดร้ายไม่ไหว ส่งผลให้เกิดการเดินขบวนต่อต้านสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้ จึงได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพ (Paris Peace Accords) ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1973 ณ กรุงปารีส แต่ก็ไม่ได้ทำให้สงครามเวียดนามยุติลง
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1975 เมื่อกองทัพเวียดกงบุกเข้าถึงกรุงไซ่ง่อน (เมืองหลวงของเวียดนามใต้ในขณะนั้น) ไซ่ง่อนแตก การสู้รบสิ้นสุดลง เดืองวันมินห์ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ประกาศยอมแพ้ จึงเป็นการสิ้นสุดอำนาจของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม โดยประเทศเวียดนามเรียกสงครามนี้ว่า “สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน”
วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นประเทศเดียวกัน ในชื่อ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีการปกครองแบบสังคมนิยม โดยมีฮานอยเป็นเมืองหลวงและเปลี่ยนชื่อเมืองไซ่ง่อนเป็น โฮจิมินห์ซิตี้ ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เวียดนามจึงเป็นอิสระจากการปกครองของต่างชาติอย่างถาวรอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการต่อสู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
การเมืองการปกครองแบบสังคมนิยมนั้นทำให้ระบบเศรษฐกิจของเวียดนามชะงักงัน ขาดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกันก็ล้วนแต่มีฐานะยากจน อีกทั้งยังไม่มีความร่วมมือใดๆในทางเศรษฐกิจร่วมกัน ทำให้ความเป็นอยู่แร้นแค้น และขาดคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังมีช่องโหว่ให้ผู้มีอำนาจ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้ช่องทางหาประโยชน์สู่ตนและพวกพ้อง
ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 เวียดนามจึงต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น จึงมีการปฏิรูปการเมืองการปกครองเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เริ่มทำให้มีเงินทุนหลังไหลเข้าสู่ประเทศมากขึ้น อุตสาหกรรมต่างๆได้ถูกพัฒนามากขึ้น ทำให้แนวโน้มของคุณภาพชีวิตประชาชนสูงขึ้นตามไปด้วย
ปี ค.ศ.1862 ฝรั่งเศสบุกโจมตีไซ่ง่อน จักรพรรดิตือดึ๊ก เซ็นสัญญายอมแพ้และตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ช่วงปี ค.ศ.1940 – 1954 โฮจิมินห์นำประชาชนต่อสู้กับพวกฝรั่งเศส และพยายามกลับมามีอิทธิพลทำให้เกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง กองกำลังเวียดมินห์ได้พามวลชนลุกขึ้นสู้ในทุกหัวเมืองของเวียดนามในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1945 เรียกกันว่า “การปฏิวัติเดือนสิงหาคม” และได้รับชัยชนะและ โฮจิมินห์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก ได้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญในปีถัดมา
จนถึงปี ค.ศ. 1954 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา สงบศึกที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลการเจรจาสงบศึกตกลงว่าฝรั่งเศสต้องให้เอกราชแก่เวียดนาม และประเทศเวียดนามจะต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ โดยเวียดนามเหนืออยู่ภายใต้การปกครองของโฮจิมินห์ และเวียดนามใต้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเบาได๋
ความเป็นอิสระของเวียดนามดำเนินอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อในปี ค.ศ.1955 สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาช่วยเหลือในการสร้างรัฐให้แก่เวียดนามใต้ และเพิ่มการช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือ โฮจิมินห์พยายามจะล้มล้างรัฐบาลเวียดนามใต้ โดยส่งขบวนการเวียดกงเข้าไปแทรกแซง ชักชวนให้ประชาชนเวียดนามใต้ต่อต้านรัฐบาลตนเอง ประชาชนเวียดนามใต้ได้มีประชามติปลดจักรพรรดิเบาได๋ออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1955 และ
โงดินห์เดียมได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี นับตั้งแต่นั้นมาประเทศเวียดนามใต้ได้เกิดสงครามภายในตลอดมา โดยโงดินห์เดียมได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา เวียดกงได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือและโซเวียต
ปี ค.ศ.1963 โงดินห์เดียมถูกโค่นอำนาจและเสียชีวิต สหรัฐจึงได้ส่งทหารเข้ามาต่อสู้กับเวียดกง อีก 2 ปีต่อมา สหรัฐส่งกำลังทหารเข้ามาปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรอีก 7 ประเทศ
สงครามเวียดนามจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปี ค.ศ.1973 แม้ว่าทหารสหรัฐจะเข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจจะสู้รบกับสงครามกองโจร หรือสงครามจรยุทธของเวียดกง ในสมรภูมิที่ไม่คุ้นเคยได้ ทหารอเมริกันที่ถูกส่งเข้าไปในเวียดนามถึง 2,500,000 นาย เสียชีวิตไปกว่า 58,000 นาย บาดเจ็บนับ 200,000 นาย และเชื่อว่าอีกแสนนายฆ่าตัวตาย เพราะทนสภาพโหดร้ายไม่ไหว ส่งผลให้เกิดการเดินขบวนต่อต้านสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้ จึงได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพ (Paris Peace Accords) ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1973 ณ กรุงปารีส แต่ก็ไม่ได้ทำให้สงครามเวียดนามยุติลง
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1975 เมื่อกองทัพเวียดกงบุกเข้าถึงกรุงไซ่ง่อน (เมืองหลวงของเวียดนามใต้ในขณะนั้น) ไซ่ง่อนแตก การสู้รบสิ้นสุดลง เดืองวันมินห์ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ประกาศยอมแพ้ จึงเป็นการสิ้นสุดอำนาจของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม โดยประเทศเวียดนามเรียกสงครามนี้ว่า “สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน”
วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นประเทศเดียวกัน ในชื่อ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีการปกครองแบบสังคมนิยม โดยมีฮานอยเป็นเมืองหลวงและเปลี่ยนชื่อเมืองไซ่ง่อนเป็น โฮจิมินห์ซิตี้ ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เวียดนามจึงเป็นอิสระจากการปกครองของต่างชาติอย่างถาวรอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการต่อสู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
การเมืองการปกครองแบบสังคมนิยมนั้นทำให้ระบบเศรษฐกิจของเวียดนามชะงักงัน ขาดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกันก็ล้วนแต่มีฐานะยากจน อีกทั้งยังไม่มีความร่วมมือใดๆในทางเศรษฐกิจร่วมกัน ทำให้ความเป็นอยู่แร้นแค้น และขาดคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังมีช่องโหว่ให้ผู้มีอำนาจ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้ช่องทางหาประโยชน์สู่ตนและพวกพ้อง
ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 เวียดนามจึงต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น จึงมีการปฏิรูปการเมืองการปกครองเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เริ่มทำให้มีเงินทุนหลังไหลเข้าสู่ประเทศมากขึ้น อุตสาหกรรมต่างๆได้ถูกพัฒนามากขึ้น ทำให้แนวโน้มของคุณภาพชีวิตประชาชนสูงขึ้นตามไปด้วย
การเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน
เป็นอีกก้าวกระโดดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงประเทศเวียดนาม เข้าสู่ยุคใหม่
มีการลงนามกรอบข้อตกลงทางการค้ากับชาติต่างๆ
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกับประเทศในกลุ่มอาเซียนและเอเชีย-แปซิฟิก
เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิตของประชาชน
อันเป็นความปรารถนาสูงสุดของประชาชนในประเทศ
เมืองหลวง
ฮานอย
เมืองหลวงของเวียดนาม มีพื้นที่ 3,344 ตารางกิโลเมตร
ประชากรประมาณ 6.5 ล้านคน นับว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2
ของประเทศรองจาก โฮจิมินห์ ซิตี้ ถือว่าเป็นเมืองที่แปลกมาก
เพราะโดยทั่วไปปกติเมืองหลวงมักเป็นเมืองที่มีประชากรมากสุด (ไม่นับเนปิดอว์
เพราะเป็นเมืองที่สร้างใหม่)
กรุงฮานอย ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1010 (พ.ศ. 1553) และเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไต้เวียด ก่อนที่จะใช้เมืองเว้ในช่วงราชวงศ์เหงียน และกลับมาใช้ฮานอยเป็นเมืองหลวงอีกครั้งในยุคที่เป็นอาณานิคมฝรั่งเศส หลัง ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) เป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้จึงนับได้ว่า ฮานอยเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเมืองหลวงเวียดนามเกือบพันปีเลยทีเดียว
กรุงฮานอย ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1010 (พ.ศ. 1553) และเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไต้เวียด ก่อนที่จะใช้เมืองเว้ในช่วงราชวงศ์เหงียน และกลับมาใช้ฮานอยเป็นเมืองหลวงอีกครั้งในยุคที่เป็นอาณานิคมฝรั่งเศส หลัง ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) เป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้จึงนับได้ว่า ฮานอยเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเมืองหลวงเวียดนามเกือบพันปีเลยทีเดียว
ดอกไม้ประจำชาติของ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ชื่อพื้นเมือง
-
ลักษณะทั่วไป
บัว เป็นพรรณไม้น้ำประเภทพืชล้มลุก
มีลำต้นและหัวอยู่ในดินใต้น้ำ
ใบ
การเจริญชูก้านใบและดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ ใบมีลักษณะกลมกว้างใหญ่
ผิวใบเรียบ มีสีเขียวหรือน้ำตาลอ่อน
ดอก
ดอกเป็นกลีบซ้อนกันหลายขั้น ลักษณะดอกคล้ายรูปกรวย เวลาบานคล้ายกับร่ม
ดอกมีสีขาว ชมพู เหลือง
ผล
ผลคือส่วนที่อยู่ตรงกลางดอก
ซึ่งมีเมล็ดประกอบอยู่ภายในจำนวนมาก
ลักษณะ ขนาดสีสรร
ของใบและดอกขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์
ด้านภูมิทัศน์ พบได้ทั่วไปตามแหล่งน้ำของประเทศเวียดนาม
ดอกบัว
อาหารประจำชาติเวียดนาม
แหนมหรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม
แหนม หรือ ปอเปี๊ยะเวียดนาม เป็นอาหารยอดนิยมของเวียดนาม
หนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุด
ของประเทศแผ่นแป้งทำจากข้าวจ้าว นำมาห่อไส้ ซึ่งอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ รวมกับผักที่มีสรรพคุณ
เป็นยานานาชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม ทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน
ของประเทศแผ่นแป้งทำจากข้าวจ้าว นำมาห่อไส้ ซึ่งอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ รวมกับผักที่มีสรรพคุณ
เป็นยานานาชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม ทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน
เฝอ
เฝอ เป็นก๋วยเตี๋ยวของชาวเวียดนามที่พัฒนามาจากการทำก๋วยเตี๋ยวของจีน
เฝอมีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยว
ของไทยแต่ต่างกันที่เส้น
น้ำซุป และเครื่องเคียง และบางครั้งก็เรียกเป็น ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม หรือ
ก๋วยจั๊บเวียดนาม
ภาษาประจำชาติเวียดนาม
ชื่อภาษาท้องถิ่น – ก่ง
หั่ว สา โห่ย จู่ เหงียน เหวียต นาม
คำทักทาย – ซินจ่าว
ชุดประจำชาติเวียดนาม
อ่าวหญ่าย (Ao dai) เป็น
ชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัวสวมทับ
กางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงานและพิธีการสำคัญของประเทศ
มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน
ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงเวียดนาม
ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุดอ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงาน
หรือพิธีศพ
หรือพิธีศพ
สถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนาม
1. อ่าวฮาลอง (Ha
Long Bay)
อ่าวฮาลอง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ของพันธุ์สัตว์ เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพ จนยูเนสโกต้องยกย่องให้เป็นมรดกโลก อ่าวนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม และอยู่ไม่ห่างจากเขตแดนของประเทศจีนมากนัก จุดเด่นของอ่าวนี้ คือ มีเกาะหินปูนโผล่ขึ้นกระจาย ๆ ทั่วอ่าว ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,500 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ ยังได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวว่ามีบรรยากาศที่สวยงามเกินจริง เสมือนฉากในตอนจบของภาพยนตร์ซึ่งมีแสง สี ที่ลงตัวสุด ๆ เลยทีเดียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : อ่าวฮาลองอยู่ห่างจากกรุงฮานอย 170 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงฮานอย โดยใช้บริการรถยนต์ รถมินิบัส รถประจำทาง หรือเฮลิคอปเตอร์
อ่าวฮาลอง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ของพันธุ์สัตว์ เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพ จนยูเนสโกต้องยกย่องให้เป็นมรดกโลก อ่าวนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม และอยู่ไม่ห่างจากเขตแดนของประเทศจีนมากนัก จุดเด่นของอ่าวนี้ คือ มีเกาะหินปูนโผล่ขึ้นกระจาย ๆ ทั่วอ่าว ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,500 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ ยังได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวว่ามีบรรยากาศที่สวยงามเกินจริง เสมือนฉากในตอนจบของภาพยนตร์ซึ่งมีแสง สี ที่ลงตัวสุด ๆ เลยทีเดียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : อ่าวฮาลองอยู่ห่างจากกรุงฮานอย 170 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงฮานอย โดยใช้บริการรถยนต์ รถมินิบัส รถประจำทาง หรือเฮลิคอปเตอร์
2. พระราชวังทังลอง
(Imperial Citadel of Thang Long)
สถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นด้วยหินทั้งหมด ซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์ Ho และถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1379 แต่ยังคงหลงเหลือโครงสร้างให้เห็นในปัจจุบัน อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม เพราะเป็นราชวังหินแห่งเดียวหลงเหลืออยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ยาวนาน จึงถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น ๆ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างโดยใช้เทคโนโลยีในแบบสมัยก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพิศวงว่าคนสมัยนั้นสามารถสร้างพระราชวังที่งดงามอย่างนี้ได้อย่างไร
ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 16 บาท (10,000 ดงเวียดนาม) ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก (อายุ 10-15 ปี) ราคา 8 บาท (5,000 ดงเวียดนาม) สำหรับเวลาทำการนั้น เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ในช่วงฤดูร้อนเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ในฤดูหนาวเปิดตั้งแต่เวลา 07.30-17.30 น.
สถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นด้วยหินทั้งหมด ซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์ Ho และถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1379 แต่ยังคงหลงเหลือโครงสร้างให้เห็นในปัจจุบัน อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม เพราะเป็นราชวังหินแห่งเดียวหลงเหลืออยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ยาวนาน จึงถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น ๆ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างโดยใช้เทคโนโลยีในแบบสมัยก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพิศวงว่าคนสมัยนั้นสามารถสร้างพระราชวังที่งดงามอย่างนี้ได้อย่างไร
ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 16 บาท (10,000 ดงเวียดนาม) ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก (อายุ 10-15 ปี) ราคา 8 บาท (5,000 ดงเวียดนาม) สำหรับเวลาทำการนั้น เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ในช่วงฤดูร้อนเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ในฤดูหนาวเปิดตั้งแต่เวลา 07.30-17.30 น.
3. เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi
An Old Town)
เมืองเก่าฮอยอันเป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ชาวบ้านยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม อีกทั้งภายในเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า มีอาคารต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมทั้งตะวันตกและตะวันออก เช่น บ้าน โคมไฟโบราณแบบจีน สะพานข้ามคลองที่มีการดีไซน์แบบประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมืองฮอยเก่าอันจะได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ส่วนการสัญจรไปมาในเมืองนั้นก็สะดวก นักท่องเที่ยวสามารถเดิน ปั่นจักรยาน หรือขับรถจักรยานยนต์ก็ได้ เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ในยามค่ำคืนหลังสี่ทุ่มไปแล้วจะค่อนข้างเงียบ แต่ยังพอมีผับบาร์ ร้านขายเครื่องดื่มเปิดให้บริการอยู่บ้าง ที่สำคัญผู้คนในเมืองเป็นมิตร อัธยาศัยดี มีน้ำใจกับนักท่องเที่ยว
ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเก่าฮอยอันคนละ 181 บาท (120,000 ดงเวียดนาม) นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมพิพิธภัณฑ์เมืองเก่าต้องแต่งกายสุภาพ เช่น ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ต ผู้หญิงห้ามสวมเสื้อไม่มีแขนและกระโปรงสั้นเหนือเข่า
เมืองเก่าฮอยอันเป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ชาวบ้านยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม อีกทั้งภายในเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า มีอาคารต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมทั้งตะวันตกและตะวันออก เช่น บ้าน โคมไฟโบราณแบบจีน สะพานข้ามคลองที่มีการดีไซน์แบบประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมืองฮอยเก่าอันจะได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ส่วนการสัญจรไปมาในเมืองนั้นก็สะดวก นักท่องเที่ยวสามารถเดิน ปั่นจักรยาน หรือขับรถจักรยานยนต์ก็ได้ เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ในยามค่ำคืนหลังสี่ทุ่มไปแล้วจะค่อนข้างเงียบ แต่ยังพอมีผับบาร์ ร้านขายเครื่องดื่มเปิดให้บริการอยู่บ้าง ที่สำคัญผู้คนในเมืองเป็นมิตร อัธยาศัยดี มีน้ำใจกับนักท่องเที่ยว
ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเก่าฮอยอันคนละ 181 บาท (120,000 ดงเวียดนาม) นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมพิพิธภัณฑ์เมืองเก่าต้องแต่งกายสุภาพ เช่น ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ต ผู้หญิงห้ามสวมเสื้อไม่มีแขนและกระโปรงสั้นเหนือเข่า
4. สุสานโฮจิมินห์ (Ho
Chi Minh's Mausoleum)
สุสานบรรจุศพแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองฮานอย ภายในอนุสาวรีย์มีโลงแก้วบรรจุร่างของ โฮจิมินห์ หรืออดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม แต่คนเวียดนามมักเรียกกันว่า "ลุงโฮ" ส่วนรูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นยึดโมเดลมาจากอนุสาวรีย์บรรจุศพของ วลาดีมีร์ เลนิน ในประเทศรัสเซีย เปิดให้สาธารณชนเข้าชมครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1975 และในทุก ๆ ปีร่างของลุงโฮจะถูกส่งไปตรวจสอบความสมบูรณ์ที่รัสเซีย
ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ที่จตุรัสบาดิงห์ (Ba Dinh Square) เปิดทำการวันอังคาร-พฤหัสบดี และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-11.00 น. สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเยี่ยมชมต้องสวมเครื่องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย (ห้ามสวมเสื้อแขนกุด กระโปรงสั้นเหนือเข่า กางเกงขาสั้น)
สุสานบรรจุศพแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองฮานอย ภายในอนุสาวรีย์มีโลงแก้วบรรจุร่างของ โฮจิมินห์ หรืออดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม แต่คนเวียดนามมักเรียกกันว่า "ลุงโฮ" ส่วนรูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นยึดโมเดลมาจากอนุสาวรีย์บรรจุศพของ วลาดีมีร์ เลนิน ในประเทศรัสเซีย เปิดให้สาธารณชนเข้าชมครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1975 และในทุก ๆ ปีร่างของลุงโฮจะถูกส่งไปตรวจสอบความสมบูรณ์ที่รัสเซีย
ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ที่จตุรัสบาดิงห์ (Ba Dinh Square) เปิดทำการวันอังคาร-พฤหัสบดี และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-11.00 น. สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเยี่ยมชมต้องสวมเครื่องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย (ห้ามสวมเสื้อแขนกุด กระโปรงสั้นเหนือเข่า กางเกงขาสั้น)
5. อุโมงค์กู๋จี (Cu
Chi Tunnels)
อุโมงค์แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม ใช้เป็นที่หลบภัยจากระเบิด ที่สำหรับประชุมของกองกำลังเวียดกงในสมัยที่รบกับสหรัฐอเมริกา อุโมงค์ถูกสร้างขึ้นให้มีหลายชั้นและแต่ละชั้นจะมีระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อความอยู่รอดของทหาร ภายในอุโมงค์ประกอบไปด้วยโรงพยาบาล ห้องประชุม และห้องพัก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจะได้รับชมหนังสั้นที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนามก่อน เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ได้ง่ายขึ้น นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม
ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโฮจิมินห์ 70 กิโลเมตร และเปิดให้บริการตลอดทั้งปี
อุโมงค์แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม ใช้เป็นที่หลบภัยจากระเบิด ที่สำหรับประชุมของกองกำลังเวียดกงในสมัยที่รบกับสหรัฐอเมริกา อุโมงค์ถูกสร้างขึ้นให้มีหลายชั้นและแต่ละชั้นจะมีระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อความอยู่รอดของทหาร ภายในอุโมงค์ประกอบไปด้วยโรงพยาบาล ห้องประชุม และห้องพัก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจะได้รับชมหนังสั้นที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนามก่อน เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ได้ง่ายขึ้น นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม
ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโฮจิมินห์ 70 กิโลเมตร และเปิดให้บริการตลอดทั้งปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น